จำนวนชิ้น | ส่วนลดต่อชิ้น | ราคาสุทธิต่อชิ้น |
{{(typeof focus_pdata.price_list[idx+1] == 'undefined')?('≥ '+price_row.min_quantity):((price_row.min_quantity < (focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1))?(price_row.min_quantity+' - '+(focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1)):price_row.min_quantity)}} | {{number_format(((focus_pdata.price_old === null)?focus_pdata.price:focus_pdata.price_old) - price_row.price,2)}} บาท | {{number_format(price_row.price,2)}} บาท |
คงเหลือ | 2 ชิ้น |
จำนวน (ชิ้น) |
- +
|
ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า คุณมีสินค้าชิ้นนี้ในตะกร้า 0 ชิ้น
|
|
|
|
คุยกับร้านค้า | |
{{ size_chart_name }} |
|
หมวดหมู่ | หนังสือทั่วไป |
สภาพ | สินค้าใหม่ |
เพิ่มเติม | |
สภาพ | สินค้ามือสอง |
เกรด | |
สถานะสินค้า | |
ระยะเวลาจัดเตรียมสินค้า | |
เข้าร่วมโปรโมชั่น | |
ข้อมูล |
น้ำหนัก
บาร์โค้ด
ลงสินค้า
อัพเดทล่าสุด
|
รายละเอียดสินค้า |
คำนำสำนักพิมพ์
ในแวดวงไทยศึกษาคงไม่มีใครปฏิเสธความสำคัญของเบเนดิกท์ แอนเดอร์สัน (Benedict Anderson) ในฐานะ “ยักษ์” ที่ต้องข้ามให้พ้น ไม่ว่าจะเห็นด้วยกับแนวคิดของเขาหรือไม่ก็ตาม อย่างไรก็ตาม ไทยศึกษาหาได้เป็นความสนใจแรกเริ่มของเบน ทั้งนี้เพราะความสนใจเริ่มต้นของเบนคือเรื่องอินโดนีเซีย ดังวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเขาเรื่อง “The Pemuda Revolution: Indonesian Politics 1945-1946” (1967) รวมทั้งผลงานอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมากเกี่ยวกับอินโดนีเซีย แต่เพราะเผด็จการซูฮาร์โตซึ่งขึ้นมาครองอำนาจตั้งแต่ปี 1968 ทนข้อวิจารณ์ของเบนไม่ได้ อีกทั้งไม่มีอำนาจจับกุมคุมขัง เช่นที่ได้ทำกับปัญญาชนท้องถิ่นอินโดนีเซีย เบนจึงเพียงถูกห้ามเข้าประเทศอินโดนีเซียนับตั้งแต่ปี 1972 (ก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้กลับเข้าอินโดนีเซียได้อีกครั้งในปี 1999 หนึ่งปีหลังจากเผด็จการซูฮาร์โตล้มลง) ความสนใจเรื่องไทยศึกษาของเบนหลังจากถูกห้ามเข้าอินโดนีเซีย น่าจะเกิดขึ้นเพราะความใกล้ชิดกับปัญญาชนไทยรุ่น 1960 ที่เดินทางไปศึกษาต่อยังสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยคอร์แนลที่เบนสอนอยู่ ภูมิรู้เกี่ยวกับเมืองไทยของเขา นอกจากค้นคว้าเองแล้ว ยังได้จากการพูดคุยแลกเปลี่ยนกับนักศึกษารุ่นนั้น เช่น ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และทักษ์ เฉลิมเตียรณ นอกจากนี้ ดอกผลจากการลุกฮือขึ้นของนักศึกษาประชาชนเพื่อโค่นล้มระบอบเผด็จการทหารในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 1973 ก็เป็นแรงผลักดันให้เบนตัดสินใจเรียนภาษาไทยและเดินทางมาพำนักที่ประเทศไทยในปี 1974 ในช่วงเวลานั้นเอง สถานการณ์ทางการเมืองเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ ประสบการณ์ที่ได้รับจากอินโดนีเซียทำให้เบนส่งสัญญาณเตือนบรรดาลูกศิษย์และคนใกล้ชิดว่าเหตุร้ายกำลังจะย่างกรายเข้ามาในไม่ช้า แม้เบนจะไม่ได้อยู่ในประเทศไทยเมื่อเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ 6 ตุลาคม 2519 แต่ความโหดร้ายของอาชญากรรมรัฐที่เกิดขึ้น เป็นแรงผลักดันให้เขาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการเขียนจดหมายเปิดผนึกประท้วงการรัฐประหารเลือด เบนหวังว่าจะมีนักวิชาการด้านไทยศึกษาในสหรัฐอเมริการ่วมลงนามด้วย ทว่าผิดคาด นักวิชาการเหล่านั้นไม่ร่วมลงนามด้วยแม้แต่คนเดียว มีเพียงจอร์จ เคฮิน (George Kahin) จากมหาวิทยาลัยคอร์แนล และเจมส์ สก็อต (James C. Scott) จากมหาวิทยาลัยเยล เพียงสองคนเท่านั้นที่ลงนามร่วมกับเบน โดยจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ได้ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ The New York Times ความสะเทือนใจจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ผนวกกับความผิดหวังต่อนักวิชาการไทยศึกษาในสหรัฐอเมริกา กระตุ้นให้เบนเขียนบทความ 2 ชิ้น ซึ่งสำคัญมากสำหรับปริมณฑลไทยศึกษา คือ “Withdrawal Symptoms: Social and Cultural Aspects of the October 6 Coup” (1977) และ “Studies of the Thai State: The State of Thai Studies” (1979) ซึ่งเป็นบทที่ 2 และ 1 ของหนังสือศึกษารัฐไทย ย้อนสภาวะไทยศึกษาเล่มนี้ อีก 7 บทที่เหลือ เป็นบทความ 4 ชิ้น และปาฐกถาอีก 3 ชิ้น ทุกชิ้นเกี่ยวข้องกับการเมืองไทยสมัยใหม่ในด้านใดด้านหนึ่ง เป็นเรื่องยากที่จะสรุปว่าหนังสือเล่มนี้พูดถึงประเด็นอะไรบ้าง เนื่องจากเบนอภิปรายถึงเรื่องต่างๆอย่างกว้างขวาง คงบอกได้แต่เพียงว่าจุดเด่นของงานทั้งหมดเมื่อประกอบเข้าด้วยกัน คือแนวทางการวิเคราะห์การเมืองไทยของเบนผ่านวิธีเปรียบเทียบสองมิติ ได้แก่ มิติร่วมพื้นที่-ข้ามเวลา และมิติร่วมเวลา-ข้ามพื้นที่ อันเป็นความถนัดของเบนเสมอมา ดังหนังสือเล่มหนึ่งของเขาที่ตั้งชื่อว่า The Spectre of Comparisons (1998) ซึ่ง 4 บทความในหนังสือเล่มนี้ก็นำมาจากหนังสือเล่มดังกล่าว ราวกับเบนในฐานะพ่อมดหมอผีกำลังบอกว่า ถ้าอยากเห็นโฉมหน้าแท้จริงของ “ปีศาจ” ก็ลองมองผ่านกล้องมิติพิศวงนี้ดูสิ ว่าแล้วเบนก็พลิกแกนสมมติฐานเรื่องรัฐไทย ซึ่งทำให้เราต้องขยี้ตาแล้วมองบทบาทของราชวงศ์จักรีเสียใหม่ ลองนึกดูว่าเมื่อตอนที่เบนชี้ว่า สยามโชคร้ายที่ตกเป็นอาณานิคมทางอ้อม ราชวงศ์จักรีสร้างความทันสมัยในลักษณะที่คล้ายกับรัฐบาลของระบอบอาณานิคม และการเปลี่ยนผ่านที่ไม่สมบูรณ์จากสมบูรณาญาสิทธิ์ไปสู่รัฐประชาชาติก่อให้เกิดปัญหานานัปการ ปีนั้นคือปี 1979 หรือ 36 ปีที่แล้ว! กระทั่งปัจจุบัน คนจำนวนมากก็ยังมองไม่เห็นปีศาจตนนี้ เบนใช้กล้องเดียวกันนี้ในการสืบเสาะหาตัวฆาตกรที่มีส่วนร่วมในเหตุการณ์สังหารหมู่ 6 ตุลา 1976 ปรากฏว่ากล้องนี้ส่องลึกไปจนเห็นถึงความคิดจิตใจอันปั่นป่วนสุดขีดคลั่งของกระฎุมพี ซึ่งเป็นฐานหรือเครื่องมือให้กับขบวนการฝ่ายขวาในการสังหารโหดนักศึกษาฝ่ายซ้าย คงไม่ผิดนักที่จะกล่าวว่า นักสืบเบนผู้มีอุปกรณ์คู่กายเป็นกล้องมิติพิศวงนี้สนอกสนใจเหตุการณ์นองเลือดเป็นพิเศษ ในบทความ “ฆาตกรรมกับความก้าวหน้าในสยามยุคใหม่” (1990) เบนได้กลิ่นฆาตกรรมไม่ชอบมาพากลจากการดูหนังเรื่อง มือปืน ซึ่งกระตุ้นให้เขาเริ่มวิเคราะห์เปรียบเทียบเหตุฆาตกรรมทางการเมืองของสยามในห้วงเวลาต่างๆก่อนจะชี้ว่าในช่วงทศวรรษ 1980 กระฎุมพีเริ่มฆ่ากันเองด้วยเหตุที่สภาผู้แทนราษฎรเริ่มมีมูลค่าทางการตลาดอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ในปาฐกถา “สองนครเลือด: จากดิลีถึงกรุงเทพฯ” (1992) เบนได้เปรียบเทียบเหตุการณ์พฤษภา 1992 ในประเทศไทย กับการสังหารหมู่ในดิลีเมื่อปี 1991 ในประเทศอินโดนีเซีย (ณ ขณะนั้น) ซึ่งก็คือการเปรียบเทียบในมิติร่วมเวลา-ข้ามพื้นที่นั่นเอง และเราก็ต้องตกใจที่ถูกทำให้ตระหนักว่า ทั้งปีศาจอย่างกองทัพไทยและกองทัพอินโดนีเซีย ต่างก็ถือกำเนิดจากลัทธิจักรวรรดินิยม และสังหารคนในชาติมากกว่าคนต่างชาติ จะต่างออกไปก็ในแง่ที่ว่า กองทัพอินโดนีเซียเคยสู้รบเพื่อเอกราชจริงๆในการต่อต้านการกลับเข้ามาของดัตช์ ขณะที่กองทัพไทยไม่เคยมีเกียรติภูมิทำนองนั้นเลย นอกจากเรื่องกองทัพแล้ว เบนยังหยิบยกประเด็นสำคัญๆ ซึ่งเป็นแกนกลางของการศึกษาการเมืองสมัยใหม่ขึ้นมาอภิปรายเปรียบเทียบอย่างลุ่มลึกด้วยกล้องพิศวงสองมิตินี้ เช่น ในบทความ “การเลือกตั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” (1996) เบนสืบสาวเส้นทางการเกิดขึ้นของลัทธิเลือกตั้งในไทย-ฟิลิปปินส์-อินโดนีเซีย เขาเขียนบทความนี้ไม่นานหลังเหตุการณ์พฤษภา ![]() |
เงื่อนไขอื่นๆ |
|
Tags |